วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เกร็ดความรู้อาเซียน


เนื้อหา http://www.nfe.go.th


ASEAN (อาเซียน) ย่อมาจาก Association of Southeast Asian Nations หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ประกอบด้วย 10 ประเทศ คือ

1. กัมพูชา (ราชอาณาจักรกัมพูชา)
2. ไทย (ราชอาณาจักรไทย)
3. บรูไนดารุสซาลาม (เนการาบรูไนดารุสซาลาม)
4. พม่า (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์)
5. ฟิลิปปินส์ (สาธารณรัฐฟิลิปปินส์)
6. มาเลเซีย 
7. ลาว (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)
8. สิงคโปร์ (สาธารณรัฐสิงคโปร์)
9. เวียดนาม (สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม)
10. อินโดนีเซีย (สาธารณรัฐอินโดนีเซีย)

เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของอาเซียน

1) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร
2) เพื่อส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค
3) เพื่อเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและพัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค
4) เพื่อเสริมสร้างให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี
5) เพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปแบบของการฝึกอบรมและการวิจัยและส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้
6) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
7) เพื่อส่งเสริมความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอก องค์การความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ และองค์การระหว่างประเทศ

อาเซียน +3 คือ กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และ 3 ประเทศนอกอาเซียน ได้แก่

1) จีน
2) ญี่ปุ่น
3) เกาหลีใต้

อาเซียน +6 คือ กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และ 6 ประเทศนอกอาเซียน ได้แก่

1) จีน
2) ญี่ปุ่น
3) เกาหลีใต้
4) ออสเตรเลีย
5) นิวซีแลนด์
6) อินเดีย

7 วิชาชีพที่สามารถย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรีในประชาคมอาเซียน
1. แพทย์
2. ทันตแพทย์
3. นักบัญชี 
4. วิศวกร
5. พยาบาล
6. สถาปนิก
7. นักสำรวจ

เพลงประจำอาเซียน “The ASEAN Way”

     เป็นผลงานจากประเทศไทยที่ชนะเลิศจากการแข่งขันระดับภูมิภาคอาเซียน ประพันธ์โดยนายกิตติคุณ สดประเสริฐ (ทำนองและเรียบเรียง) ได้เริ่มใช้บรรเลงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เนื้อร้อง

Raise our flag high, sky high
Embrace the pride in our heart
ASEAN we are bonded as one
Look-in out-ward to the world.
For peace, our goal from the very start
And prosperity to last.
WE dare to dream we care to share.
Together for ASEAN
We dare to dream,
We care to share for it's the way of ASEAN.

เนื้อร้อง ภาษาไทย

พลิ้วลู่ลม โบกสะบัด ใต้หมู่ธงปลิวไสว
สัญญาณแห่ง สัญญาทางใจ
วันที่เรามาพบกัน
อาเซียน เป็นหนึ่ง ดังที่เราปรารถนา
เราพร้อมเดินหน้าไปตรงนั้น
หล่อหลวมจิตใจ ให้เป็นหนึ่งเดียว
อาเซียนยึดเหนี่ยวสัมพันธ์
ให้สังคมนี้ มีแต่แบ่งปัน
เศรษฐกิจ มั่นคง ก้าวไกล

สามารถฟังเพลง The ASEAN Way ได้จากhttp://www.youtube.com/watch?v=TcpoRAA-kCg&feature=related

ระบบการศึกษาไทย

รูปภาพ : CNN iReport : ระบบการศึกษาไทย ความล้มเหลวแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

* ข้อเขียนจากประสบการณ์ของอาจารย์ชาวต่างชาติ คาสซานดรา เจมส์ เขียนขึ้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2008 บริบท เหตุการณ์ นโยบายต่างๆในการวิจารณ์คือช่วงเวลานั้น นำเสนออีกครั้งผ่าน iReport ของเว็บไซต์ CNN (ซึ่งเป็นการนำเสนอบทความโดยบล็อกเกอร์บุคคลทั่วไป) เมื่อ 8 มิถุนายน 2013 ถ่ายทอดและสรุปเป็นภาษาไทยโดย New Culture 
------------------------

ระบบการศึกษาไทย คือหนึ่งในระบบการศึกษาที่ล้มเหลวที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตกต่ำลงทุกปี 

ผู้เขียนสอนอยู่ในระบบการศึกษาไทยมากว่า 3 ปี และได้รับรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วระบบการศึกษาในไทยนั้นย่ำแย่แค่ไหน เงินงบประมาณที่ถมลงไปไม่เคยพอ, ห้องเรียนขนาดใหญ่(นักเรียนมากกว่า 50 คนต่อห้อง) ผลิตและพัฒนาครูย่ำแย่, นักเรียนขาดแรงผลักดัน และระบบที่บังคับให้นักเรียนผ่านชั้นได้แม้ว่าพวกเขาจะสอบตก จนคล้ายว่าเราจะมองไม่เห็นความหวังต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะอันใกล้นี้

ผู้เขียนสอนในโรงเรียนเอกชนพหุภาษา ดังนั้นระดับความเข้มข้นของปัญหาจะน้อยกว่าโรงเรียนรัฐ แต่ถึงอย่างนั้น โรงเรียนของเราก็ต้องตกอยู่ภายใต้ระบบราชการอันเทอะทะของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานไร้ประสิทธิภาพจนน่าหัวร่อแห่งหนึ่งของโลก กฏระเบียบเปลี่ยนแปลงทุกภาคการศึกษา หลักสูตรการสอน, เนื้อหาแบบเรียน, ข้อสอบ ฯลฯ แนวทางปฏิบัติใหม่ๆถูกสั่งการมายังครูอาจารย์ทุกๆเปิดเทอมใหม่ แล้วก็เปลี่ยนใหม่อีกทีในภาคการศึกษาหน้า

อาจารย์ได้รับคำสั่งให้ปล่อยนักเรียนผ่านชั้นไปได้ แม้ว่าพวกเขาจะสอบตก และให้ปิดตาข้างหนึ่งให้กับปัญหาที่เราควรจะซีเรียสอย่างการลอกการบ้านส่ง

ทุกๆปี กระทรวงศึกษาธิการจะเกิดปิ๊งไอเดียสุดเลิศในการพัฒนาการศึกษา ไอเดียสุดเลิศในปีนี้(2008-ผู้แปล)คือการบังคับให้อาจารย์ชาวต่างชาติทุกคนไปอบรมคอร์สวัฒนธรรมไทย แม้ว่าอาจารย์ชาวต่างชาติจำนวนมากจะอยู่ที่นี่มาหลายปีและเข้าใจวัฒนธรรมไทยดี แต่เพื่อจะได้รับการต่ออายุใบอนุญาตเป็นอาจารย์ พวกเขาก็จำเป็นต้องเข้าคอร์สนี้ ค่าอบรมอยู่ในราคา 110$-300$ (ราวสามพันถึงเกือบหมื่น-ผู้แปล) ต้องจ่ายโดยตัวอาจารย์ผู้เข้าอบรมเอง อาจารย์ชาวต่างชาติหลายคนปฏิเสธที่จะจ่าย ผู้เขียนรู้จักอาจารย์ที่มีฝีมือมาก 2 ท่านตัดสินใจเปลี่ยนไปสอนที่ญี่ปุ่นและเกาหลีแทน ด้วยผลจากนโยบายนี้

ประเทศอาเซียนอื่น อาจารย์ชาวต่างชาติได้รับเงินเดือนที่สูงกว่า  และกระทรวงศึกษาธิการในประเทศเหล่านั้นมีแนวคิดที่ก้าวหน้ากว่า ประเทศไทยจึงประสบปัญหาในการที่จะดึงดูดและรักษาอาจารย์ชาวต่างชาติที่มีคุณภาพเอาไว้ การออกกฏเช่นนั้นมา จึงเป็นคล้ายดั่งใบสั่งให้พวกเขาจากไปสู่ประเทศอื่นๆ

เป็นที่ทราบกันดีว่าองค์กรของรัฐหรือระบบราชการในแทบทุกประเทศทั่วโลกจะขึ้นชื่อเรื่องความไร้ประสิทธิภาพ แต่ถึงอย่างนั้น กระทรวงศึกษาธิการของไทย ก็ยังต้องจัดว่าไร้ประสิทธิภาพที่สุดที่ผู้เขียนได้เคยทำงานร่วมด้วยมา

โรงเรียนล่าสุดที่ผู้เขียนมีโอกาสสอน อาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนได้มาหาผู้เขียนเพื่อขอให้ช่วยแก้ไขแกรมมาร์ เนื่องจากอาจารย์ท่านนั้นถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ ตัวแทนของกระทรวงศึกษาธิการได้ต่อว่าอาจารย์ท่านนั้นอย่างหยาบคายว่า ไม่ดูแกรมมาร์ของเด็กๆบนการ์ดวันแม่ให้ถูกต้อง คำตำหนินี้มาจากองค์กรที่ส่งเอกสารมายังอาจารย์ต่างชาติทุกวัน โดยที่เอกสารราชการเหล่านั้นไม่มีสักประโยคที่เขียนแกรมมาร์ถูกต้องเลย ถึงขนาดที่บางอันหัวหน้าของผู้เขียนต้องโยนทิ้งถังขยะ เนื่องจากไม่สามารถอ่านได้เข้าใจเลย

สังคมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติทางศึกษา นักเรียนไทยไม่เคยต้องคิดอะไรเอง ไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะ Critical Thinking (การคิดเชิงวิพากษ์เป็นเหตุเป็นผล) ในโรงเรียนรัฐ การมีนักเรียน 50 คนต่อห้องเป็นเรื่องปกติ เด็กครึ่งนึงหลับในชั้นเรียน ในขณะที่อาจารย์ไม่เคยสนใจว่าพวกเขาจะฟังหรือไม่ จำนวนหนังสือมีจำกัด อุปกรณ์การทดลองวิทยาศาสตร์ไม่เคยปรากฏให้เห็นในบางโรงเรียน อาจารย์ต่างชาติเป็นเหมือนเศษเกินที่มีแค่ให้พอมี

ในขณะที่โรงเรียนไม่สามารถจ่ายได้เกิน 750$ (ราว 23,000 บาท-ผู้แปล) จึงได้คุณภาพเท่าที่จ่าย (และคนที่เรียกว่า"อาจารย์"จำนวนมากนี้ เป็นเพียงชายแก่ที่ไม่มีปริญญาการสอนใดๆ มาที่นี่เพราะหญิงไทย และลงเอยด้วยการเป็นอาจารย์สอนภาษา เพราะเป็นงานเพียงไม่กี่อย่างที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติทำ)

สถานการณ์การศึกษาในเวียดนาม มาเลเซีย เกาหลีหรือจีน กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ขณะที่ไทยถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง รัฐยังเสียเวลาไปกับการออกกฏที่น่าขัน แทนที่จะแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ 

อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงต่างๆในสังคมไทยนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า สังคมไทยนั้นคือสังคมแห่งการรักษาหน้าตาในทุกๆด้าน ภาพลักษณ์คือทุกสิ่ง และตราบใดที่ภาพลักษณ์ภายนอกของเด็กยังสำคัญกว่าความรู้ที่อยู่ข้างในสมองของพวกเขา ระบบการศึกษาไทยก็จะยังเผชิญกับปัญหาอยู่ต่อไป และร่วงหล่นอยู่ท่ามกลางการแข่งขันของโลก

แต่ใครสนกันล่ะ? ขอเพียงเด็กๆดูน่ารักน่าชัง เข้าแถวตรงเดินพาเหรดในชุดเครื่องแบบเรียบร้อย ถึงจะพูดประโยคภาษาอังกฤษได้ไม่เกินเกิน 20 คำและภาษาไทยเองก็ไม่ได้เก่งไปกว่ากันก็ตาม

จาก CNN iReport : http://ireport.cnn.com/docs/DOC-985267
ต้นฉบับบทความในปี 2008 : http://voices.yahoo.com/education-thailand-terrible-failure-889841.html

CNN iReport : ระบบการศึกษาไทย ความล้มเหลวแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

* ข้อเขียนจากประสบการณ์ของอาจารย์ชาวต่างชาติ คาสซานดรา เจมส์ เขียนขึ้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2008 บริบท เหตุการณ์ นโยบายต่างๆในการวิจารณ์คือช่วงเวลานั้น นำเสนออีกครั้งผ่าน iReport ของเว็บไซต์ CNN (ซึ่งเป็นการนำเสนอบทความโดยบล็อกเกอร์บุคคลทั่วไป) เมื่อ 8 มิถุนายน 2013 ถ่ายทอดและสรุปเป็นภาษาไทยโดย New Culture
------------------------

ระบบการศึกษาไทย คือหนึ่งในระบบการศึกษาที่ล้มเหลวที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตกต่ำลงทุกปี

ผู้เขียนสอนอยู่ในระบบการศึกษาไทยมากว่า 3 ปี และได้รับรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วระบบการศึกษาในไทยนั้นย่ำแย่แค่ไหน เงินงบประมาณที่ถมลงไปไม่เคยพอ, ห้องเรียนขนาดใหญ่(นักเรียนมากกว่า 50 คนต่อห้อง) ผลิตและพัฒนาครูย่ำแย่, นักเรียนขาดแรงผลักดัน และระบบที่บังคับให้นักเรียนผ่านชั้นได้แม้ว่าพวกเขาจะสอบตก จนคล้ายว่าเราจะมองไม่เห็นความหวังต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะอันใกล้นี้

ผู้เขียนสอนในโรงเรียนเอกชนพหุภาษา ดังนั้นระดับความเข้มข้นของปัญหาจะน้อยกว่าโรงเรียนรัฐ แต่ถึงอย่างนั้น โรงเรียนของเราก็ต้องตกอยู่ภายใต้ระบบราชการอันเทอะทะของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานไร้ประสิทธิภาพจนน่าหัวร่อแห่งหนึ่งของโลก กฏระเบียบเปลี่ยนแปลงทุกภาคการศึกษา หลักสูตรการสอน, เนื้อหาแบบเรียน, ข้อสอบ ฯลฯ แนวทางปฏิบัติใหม่ๆถูกสั่งการมายังครูอาจารย์ทุกๆเปิดเทอมใหม่ แล้วก็เปลี่ยนใหม่อีกทีในภาคการศึกษาหน้า

อาจารย์ได้รับคำสั่งให้ปล่อยนักเรียนผ่านชั้นไปได้ แม้ว่าพวกเขาจะสอบตก และให้ปิดตาข้างหนึ่งให้กับปัญหาที่เราควรจะซีเรียสอย่างการลอกการบ้านส่ง

ทุกๆปี กระทรวงศึกษาธิการจะเกิดปิ๊งไอเดียสุดเลิศในการพัฒนาการศึกษา ไอเดียสุดเลิศในปีนี้(2008-ผู้แปล)คือการบังคับให้อาจารย์ชาวต่างชาติทุกคนไปอบรมคอร์สวัฒนธรรมไทย แม้ว่าอาจารย์ชาวต่างชาติจำนวนมากจะอยู่ที่นี่มาหลายปีและเข้าใจวัฒนธรรมไทยดี แต่เพื่อจะได้รับการต่ออายุใบอนุญาตเป็นอาจารย์ พวกเขาก็จำเป็นต้องเข้าคอร์สนี้ ค่าอบรมอยู่ในราคา 110$-300$ (ราวสามพันถึงเกือบหมื่น-ผู้แปล) ต้องจ่ายโดยตัวอาจารย์ผู้เข้าอบรมเอง อาจารย์ชาวต่างชาติหลายคนปฏิเสธที่จะจ่าย ผู้เขียนรู้จักอาจารย์ที่มีฝีมือมาก 2 ท่านตัดสินใจเปลี่ยนไปสอนที่ญี่ปุ่นและเกาหลีแทน ด้วยผลจากนโยบายนี้

ประเทศอาเซียนอื่น อาจารย์ชาวต่างชาติได้รับเงินเดือนที่สูงกว่า และกระทรวงศึกษาธิการในประเทศเหล่านั้นมีแนวคิดที่ก้าวหน้ากว่า ประเทศไทยจึงประสบปัญหาในการที่จะดึงดูดและรักษาอาจารย์ชาวต่างชาติที่มีคุณภาพเอาไว้ การออกกฏเช่นนั้นมา จึงเป็นคล้ายดั่งใบสั่งให้พวกเขาจากไปสู่ประเทศอื่นๆ

เป็นที่ทราบกันดีว่าองค์กรของรัฐหรือระบบราชการในแทบทุกประเทศทั่วโลกจะขึ้นชื่อเรื่องความไร้ประสิทธิภาพ แต่ถึงอย่างนั้น กระทรวงศึกษาธิการของไทย ก็ยังต้องจัดว่าไร้ประสิทธิภาพที่สุดที่ผู้เขียนได้เคยทำงานร่วมด้วยมา

โรงเรียนล่าสุดที่ผู้เขียนมีโอกาสสอน อาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนได้มาหาผู้เขียนเพื่อขอให้ช่วยแก้ไขแกรมมาร์ เนื่องจากอาจารย์ท่านนั้นถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ ตัวแทนของกระทรวงศึกษาธิการได้ต่อว่าอาจารย์ท่านนั้นอย่างหยาบคายว่า ไม่ดูแกรมมาร์ของเด็กๆบนการ์ดวันแม่ให้ถูกต้อง คำตำหนินี้มาจากองค์กรที่ส่งเอกสารมายังอาจารย์ต่างชาติทุกวัน โดยที่เอกสารราชการเหล่านั้นไม่มีสักประโยคที่เขียนแกรมมาร์ถูกต้องเลย ถึงขนาดที่บางอันหัวหน้าของผู้เขียนต้องโยนทิ้งถังขยะ เนื่องจากไม่สามารถอ่านได้เข้าใจเลย

สังคมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติทางศึกษา นักเรียนไทยไม่เคยต้องคิดอะไรเอง ไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะ Critical Thinking (การคิดเชิงวิพากษ์เป็นเหตุเป็นผล) ในโรงเรียนรัฐ การมีนักเรียน 50 คนต่อห้องเป็นเรื่องปกติ เด็กครึ่งนึงหลับในชั้นเรียน ในขณะที่อาจารย์ไม่เคยสนใจว่าพวกเขาจะฟังหรือไม่ จำนวนหนังสือมีจำกัด อุปกรณ์การทดลองวิทยาศาสตร์ไม่เคยปรากฏให้เห็นในบางโรงเรียน อาจารย์ต่างชาติเป็นเหมือนเศษเกินที่มีแค่ให้พอมี

ในขณะที่โรงเรียนไม่สามารถจ่ายได้เกิน 750$ (ราว 23,000 บาท-ผู้แปล) จึงได้คุณภาพเท่าที่จ่าย (และคนที่เรียกว่า"อาจารย์"จำนวนมากนี้ เป็นเพียงชายแก่ที่ไม่มีปริญญาการสอนใดๆ มาที่นี่เพราะหญิงไทย และลงเอยด้วยการเป็นอาจารย์สอนภาษา เพราะเป็นงานเพียงไม่กี่อย่างที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติทำ)

สถานการณ์การศึกษาในเวียดนาม มาเลเซีย เกาหลีหรือจีน กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ขณะที่ไทยถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง รัฐยังเสียเวลาไปกับการออกกฏที่น่าขัน แทนที่จะแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงต่างๆในสังคมไทยนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า สังคมไทยนั้นคือสังคมแห่งการรักษาหน้าตาในทุกๆด้าน ภาพลักษณ์คือทุกสิ่ง และตราบใดที่ภาพลักษณ์ภายนอกของเด็กยังสำคัญกว่าความรู้ที่อยู่ข้างในสมองของพวกเขา ระบบการศึกษาไทยก็จะยังเผชิญกับปัญหาอยู่ต่อไป และร่วงหล่นอยู่ท่ามกลางการแข่งขันของโลก

แต่ใครสนกันล่ะ? ขอเพียงเด็กๆดูน่ารักน่าชัง เข้าแถวตรงเดินพาเหรดในชุดเครื่องแบบเรียบร้อย ถึงจะพูดประโยคภาษาอังกฤษได้ไม่เกินเกิน 20 คำและภาษาไทยเองก็ไม่ได้เก่งไปกว่ากันก็ตาม


จาก CNN iReport : http://ireport.cnn.com/docs/DOC-985267
ต้นฉบับบทความในปี 2008 :http://voices.yahoo.com/education-thailand-terrible-failure-889841.html

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ติดปาก



การกรอกหู บ่อยๆ ต่อเนื่อง เป็นระบบ
ทำให้ติดหู ติดตา ที่สุด ซึมลึกเข้าสู่จิตใต้สำนึก โดยไม่รู้ตัว

ถ้าถามว่า เรารู้จักร้านสะดวกซื้อหรือไม่ ร้านอะไร 
น่าจะมีคำตอบไม่มากนัก เผลอๆเป็นคำตอบเดียว ติดตา ติดปาก
โดยไม่ต้องคิด นักการตลาด จับจุดนี้ได้
นักการเมือง ที่ใช้การตลาดนำ ก็ใช่จุดนี้

ครู น่าจะใช้จุดนี้ ในการเรียนการสอน การสอนจะได้เกิดประสิทธิภาพ
พ่อแม่ น่าจะใช้จุดนี้ ในการอบรมสั่งสอนลูก การเลี้ยงลูกจะมีประสิทธิภาพ
นักการศาสนา น่าจะใช้จุดนี้ในการสอนหลักศาสนา การปลูกฝังหลักศาสนาจะเกิดผล
ตำรวจ น่าจะใช้จุดนี้ ในการอบรมผู้ร้าย ผู้ฝ่าฝืนกฎจราจร การบังคับใช้ จะได้ผล
พิเศษสำหรับตำรวจ ไม่เพียงได้ผล แต่คนจะรักท่านมาก..รักทั้งประเทศเลย

ในทางกลับกัน
เราจะตั้งสติอย่างไร ไม่ให้โดนครอบงำ ไม่ให้ขาดสติ ไม่ให้โดนลากไปง่ายๆ

ต้องท่อง..
มีสติ ไม่เสียสตังค์
ขาดสติ เสียสตังค์แน่ๆ

มีสติ ก่อนสตาร์ท
ก่อนสตาร์ท ตั้งสติ..นะครับ

(ภาพ กระดาษคำตอบของเด็ก แวดวงส่งมา
น่าสนใจ เป็นกรณีน่าศึกษา ไม่บอกที่มา
จังหวัด โรงเรียน..ดีแล้ว พฤ.๓ ตค.๕๖)


cr.ผู้ช่วยศาสตราจารย์นิฟาริด ระเด่นอาหมัด

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อาจารย์มหาวิทยาลัยกับความพอ   
โดย  ศาสตราจารย์ นพ.ธีระ ทองสง

อาจารย์ที่พึงปรารถนา
กระผมระลึกได้ถึงสมัยที่กระผมเป็นนักศึกษาแพทย์ ที่เคยถามตนเองว่า อยากจะเห็นอาจารย์ของตนเป็นเช่นไร อยากได้อาจารย์แบบไหน ใจเรารู้ดีว่า ต้องการอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตร ที่เป็นแบบอย่าง ถ่ายทอดความรู้ ทักษะด้วยเมตตา ขยัน ตรงเวลาสร้างสรรค์ คิดค้นองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้เรารู้สึกว่าศิษย์มีครู รู้สึกว่าดีใจที่ได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ถ้าผมจะเคารพอาจารย์ ก็มิใช่เพราะผมขับรถราคาแพง มีตำแหน่งวิชาการสูง เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โต แต่เป็นเพราะอาจารย์ทำอะไร อุทิศตนเช่นไร เสียสละเพียงใด…..
วิถีครู
หลายปีมานี้ ความสุขจากความเป็นครูสูญหายไปจากใจครูหลายคน กระผมถือว่าเราได้สูญเสียส่วนสำคัญที่สุดของชีวิตไปแล้ว จากนี้ไป แม้เราอาจมีอะไรขึ้นมามากมายในชีวิต ก็ไม่อาจมาทดแทนได้ เราจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่ยิ่งกว่าเงินทอง ความสำเร็จสูงส่งของชีวิตครู คือการได้ตื่นมาถามหาความสวยงามในชีวิต ทุกเช้าที่ตื่นพร้อมด้วยความกรุณา และคำถามว่า วันนี้ เราพอจะให้อะไรใครได้บ้าง
แทนที่ว่าวันนี้เราได้อะไรจากการที่เราจะไปทำงาน ภารกิจสำคัญชิ้นหนึ่งของครู คือการสร้างบรรยากาศให้เกิดความใฝ่ฝันที่จะเรียนรู่และอยากทำสิ่งดีๆ ทั้งในและนอกชั้นเรียนทำให้จิตใจนักเรียนปลอดโปร่ง สร้างบรรยากาศกันเอง บรรยากาศของกัลยาณมิตร ผมคิดว่า การสร้างความปรารถนาดีที่แท้จริงจากใจครู เป็นภารกิจเบื้องต้นที่ต้องพัฒนาให้เกิดก่อน และสร้างแรงบันดาลใจให้ใครๆ ต่อใครเกิดความปรารถนาที่จะดี
สิ่งจำเป็นเบื้องต้นของชีวิตครู คือความใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ให้ ซึ่งเป็นหัวใจที่อบอุ่น และมีความสุข แล้วครูจะมีความสุขในการสอน สุขใจในการสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการ(วิจัย) ทุกห้องเลคเชอร์ มีความสุขงดงามซ่อนอยู่ ความดีงามแม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ในชีวิตครับ กระผมอยากเห็นครูทุกคนรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นครู มากกว่าภูมิใจที่ได้เป็นผู้บริหาร เป็นผู้มีธุรกิจทางวิชาชีพที่รุ่งเรือง เป็นเจ้าพ่อวิชาการ บางครั้ง
เราอาจสำคัญตนว่าจบสูง ความรู้ดี มี authority มีระดับ กรีดกรายอยู่ในสังคมนี้อย่างหยิ่งทะนง แต่เราอาจไม่ได้อยู่ในหัวใจของใครเลยที่อยู่รอบด้าน………………

บทบาทคือแบบอย่าง
กระผมเชื่อว่าความสุขในการงาน คือความสำเร็จของมนุษย์ ครูอาจารย์ ควรมีชีวิตการทำงานอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องฝืน เป็นแบบอย่างโดยเต็มใจ ครูควรเป็นแบบอย่างให้กับศิษย์ มากกว่าที่จะให้ศิษย์เป็นแบบอย่างให้ครู พฤติกรรมของครูจะสอนศิษย์ได้ดีกว่าคำพูด ครูจะต้องคงความศรัทธาไว้ในใจศิษย์เสมอ และพฤติกรรมครูจะกำหนดพฤติกรรมเด็กเสมอ ยกตัวอย่างเช่น ครูแพทย์สอนให้แพทย์ออกตรวจโอพีดีตรงเวลา เก้าโมงตรง แต่อาจารย์ออกไม่ค่อยตรงเวลา คำสอนนั้นมักจะไม่มีคุณค่า
เป้าหมายในชีวิต
อาจารย์ก็เหมือนคนทั่วไป ที่เราต่างได้ถูกยุยงให้สร้างวิถีทาง สร้างบันได เพื่อก้าวไปสู่บางสิ่งบางอย่างที่เราเองก็เลือนราง เราได้พากันลงทุนทั้งชีวิต ที่จะก่อร่างสร้างหนทางที่เราไม่รู้เป้าหมาย เราถูกกระซิบให้วิ่งไปข้างหน้าเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่สังคมชี้นำเสมอ เรายินยอมอุทิศชีวิตเพื่อสร้างรากฐานแห่งการมีโอกาสเข้าถึงเงิน เครดิตทรัพย์สิน เกียรติยศ เราถูกปล่อยให้อยู่ในโลกของจินตนาการเหล่านั้นมานานนับสิบๆปี นับครั้งไม่ถ้วนที่เราเพ้อฝัน เคลิบเคลิ้มอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง จนคลั่งไคล้ทุ่มเทชีวิตไปกับมัน แต่ทุกครั้งที่เราไขว่คว้า หรือแม้แต่ได้มาบำบัดความใฝ่ฝัน แต่แล้วในที่สุดเราก็พบว่า สิ่งใดที่หามาได้นั้น หาได้มีคุณค่ามากมายไม่……
ถึงแม้ทุกวันนี้เรามีการเรียนการสอนที่ลึกซึ้ง สลับซับซ้อนซอกซอนลงลึกในทุกสาขาวิชา แต่โศกนาฏกรรมทางการศึกษาได้บังเกิดขึ้นอย่างน่าใจหาย กลับกลายเป็นว่า คนที่มีความรู้มาก กลับโหดร้ายต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หยาบคายต่อสภาพแวดล้อมผู้ให้กำเนิด ใช้ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ และโอกาสที่เหนือกว่า คดโกงมนุษย์ด้วยกันในมาดที่น่าบูชา มีระดับ บางทีแสงสว่างของมันสมองก็ไม่ทำให้หัวใจหายมืด การดำเนินชีวิตจึงอยู่อย่างรู้สึกขาดแคลนท่ามกลางความมั่งมี อึดอัดด้วยความไม่รู้จักพอ หงุดหงิดง่าย เปราะ เหงา เซ็ง ผสมผสานด้วยทัศนะอันร้อนระอุว่าต้องการหาเงินเพิ่มอีกเพื่อนำมาบำบัดปัญหาเหล่านี้ วิทยาการอาจอำนวยวิถีทางทำมาหากินที่รุ่งเรือง แต่วิถีทางจิตใจยังร่อนเร่ ระหกระเหิน สั่นสะเทือนด้วยการกระทบน้อยใหญ่ โศกๆ ซึมๆ เฮฮา แล้วก็หลบมาเซ็งอย่างโดดเดี่ยว การดำเนินชีวิตอุทิศทุ่มตัวเพื่อซื้อสวัสดิการที่เหลวไหลของสังคมเช่นนี้ มีระบาดให้เห็นตัวอย่างอยู่มากมาย จงขอโอกาสให้กับตนเอง ได้ถามหาเป้าหมายแห่งการมีชีวิตของตนเองด้วยเถิด

วิถีครู
ทำใจเถิดครับว่า ชั่วโมงต่อไปนี้ คือเวลาสำคัญของชีวิตที่ครูรอคอยด้วยความหวังว่า นี่คือโอกาสของการสร้างสิ่งสวยงามในชีวิตครูและนักศึกษา มันเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากครับถ้าอีกชั่วโมงผ่านพ้นไปโดยเราไม่ได้รับความรู้สึกว่า ปิติใจจากความเป็นผู้ให้สอนด้วยเมตตาครับ คลาสเรียน คือห้องแห่งความกรุณา ห้องแห่งการให้ความรู้มิใช่อวดความรู้ นักเรียนต้องการกัลยาณมิตรในห้องเรียน ไม่ใช่นักวิชาการที่ห่างเหินกันในความรู้สึก
คิดด้วยหัวใจครู
ตลอดเวลาอันยาวนานของการเป็นครูที่เหนื่อยยาก ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ อาจไม่ให้อะไรแก่ครูเลย นอกจากประวัติศาสตร์ชีวิตที่สวยงาม ครูต้องเป็นแม่พิมพ์เสมอหมายถึงแม่พิมพ์ หรือ role model อันเป็นความหมายของการมีชีวิต ที่ไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงินหมื่นเงินแสน เมื่ออาจารย์ได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตมาเป็นครูแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ครูต้องตระหนักว่าความสำเร็จของการมีชีวิตคือการเบิกบานแจ่มใส สุขใจ ปิติใจ ไม่ใช่เงินทอง ถ้าครูมัวแต่แสวงหารายได้ สอนพิเศษ อาชีพขายตรงนอกเวลามิสทีน แอมเวย์ กิฟฟารีน ฯลฯ ยากที่ครูจะประสบความสำเร็จในชีวิตครู ครูควรเป็นผู้ที่ร่ำรวย แต่ความร่ำรวยในที่นี้หมายถึงมีมากจนเพียงพอ เท่าไหร่ครับถึงจะพอ การมั่งมีสมบัติมิได้หมายถึงความร่ำรวยที่แท้จริง แต่ความรู้จักพอจนให้ได้หมายถึงความร่ำรวยจริงแท้ ครูหลายคน ที่ผมเห็นมา อาจารย์ในมหาวิทยาลัย อาจารย์หมอที่หารายได้พิเศษวิ่งรับจ๊อบมากมาย หลายปีมานี้มั่งคั่งขึ้น อาศัยอยู่ในอัครสถานดุจเพียงเวียงวัง หลากล้นด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก มีเบนซ์ขับ มีโทรศัพท์ติดตัว หรูหรา นั่นอาจเป็นสิทธิ์ของท่าน แต่กระผมเพียงไม่อยากให้ครูทั้งหลายใฝ่ฝันที่จะเป็นเช่นนั้น เชื่อเถอะครับเพื่อนครูทั้งหลาย ภาพลักษณ์เหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องสันนิษฐานว่าน่าจะนำมาซึ่งความสุขเท่านั้น แต่ประวัติศาสตร์ได้บอกเรามากมายว่าคนมีเงินมากที่สุดไม่ได้แปลว่ามีความสุขที่สุด ในชีวิตนี้มีความสุขอีกมากมายที่มนุษย์เก็บเกี่ยวได้โดยไม่ต้องใช้เงินทอง ก็ความสุขจากการให้นั่นแหละครับ คนที่โชคดีที่สุดมิใช่คนที่สามารถมีอะไรได้มากมาย แต่คือคนที่สามารถให้อะไรได้มากมาย ในโลกวันนี้มีคนไม่น้อยที่ร่ำรวยล้นฟ้าแต่ขาดความสามารถในการให้ และตรงกันข้ามผู้คนอีกมากมายที่พออยู่พอกินแต่มีความสามารถในการให้สูงมาก วันนี้ที่เราตื่นเช้าขึ้นมาแล้วถามหา

ความสวยงามในชีวิต เมื่อเราเดินทางไปที่ทำงานเราจะพบว่ามีโอกาสของการให้ผ่านเข้ามามากมายซึ่งเรามักจะละเลยเสีย ไม่ว่าจะเป็นการให้รอยยิ้มจริงใจ คำพูดดีๆ การช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ คะแนะนำดีๆ แก่ใครบางคน ไม่ต้องมีเงินมากหรอกครับเราก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์ชีวิตที่สวยงามได้แน่นอน มันอยู่ที่วิธีความคิดในวันนี้__

หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา

เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  






หน่วยที่ 1 
หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา










เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  







จุดประสงค์












เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  



หน่วยที่ 1  หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา

1.1  จุดประสงค์
            1)  เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจในความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
                2)  เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาหลักสูตร
                3)  ฝึกการวิเคราะห์ความสอดคล้องของวิสัยทัศน์  หลักการ จุดประสงค์ตลอดจนองค์ประกอบอื่นๆของหลักสูตร
                4)  เพื่อวิเคราะห์มาตรฐาน  ตัวชี้วัดและสาระของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาตลอดจนปัญหาการใช้หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา
                5)  นำเสนอผลการวิเคราะห์มาตรฐาน  ตัวชี้วัดและสาระของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาตลอดจนปัญหาการใช้หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา








เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  










สาระสำคัญ















เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  



หน่วยที่ 1  หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา

       1.2  สาระสำคัญ
                                        ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้ประสบความสำเร็จนั้น  ผู้สอนจำเป็นต้องทำความเข้าในวิสัยทัศน์ หลักการและเป้าหมายของหลักสูตรเป็นอย่างดี   และนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้  อนึ่ง  หลักสูตรจะไม่มีความหมายใด ๆ หากผู้มีหน้าที่จัดการศึกษาปล่อยไว้ให้เป็นเพียงข้อความอยู่ในคู่มือหลักสูตร กิจกรรมการเรียนการสอนจะเกดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการำนำหลักสูตรไปใช้และหลักสูตรนั้นไมใช่สูตรสำเร็จที่จะนำไปใช้ได้ทันที ผู้ใช้จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการ














เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  









เนื้อหา
















เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  



หน่วยที่ 1  หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา


       1.3  เนื้อหา

              1.3.1  ความหมายและความสำคัญของวิทยาศาสตร์
                     หลักสูตร หมายถึงมวลประสบการณ์ความรู้ต่าง ๆ ที่จัดให้ผู้เรียนทั้งในและนอกห้องเรียน ซึ่งมีลักษณะเป็นกิจกรรม โครงการหรือแผน เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้พัฒนาและมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ได้กำหนดไว้
                        หลักสูตรมีความสำคัญในการจัดการศึกษาทุกระดับ  เปรียบเสมือนเข็มทิศในการจัดการศึกษา ดังนี้
                        1) ระดับประเทศ เป็นการชี้ให้เห็นถึงแนวทางการจัดการศึกษาโดยภาพและเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นแนวโน้มสังคมกับการจัดการศึกษาในอนาคต
2)  ระดับสถานศึกษา ซึ่งนับได้ว่าหลักสูตรเป็นหัวใจและจุดเด่นของการจัดการ
เรียนการสอนในสถานศึกษานั้น ๆ
3ระดับห้องเรียนซึ่งมีความสำคัญต่อการนำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อจัดการเรียนรู้
ที่เกิดกับผู้เรียนโดยตรง โดยมีรายละเอียดและเอกสารประกอบที่กำหนดแนวทางว่าจะสอนใคร เรื่องใด เพื่ออะไร






เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  



                1.3.2  การพัฒนาหลักสูตร
                การพัฒนาหลักสูตรจึงมีความหมายใน 2 ลักษณะ คือ การทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือสมบูรณ์ขึ้น กับการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐานเลย
                        สาเหตุหลักของการพัฒนาหลักสูตร คือ  ความล้าสมัยของหลักสูตร  ที่ไม่สามารถพัฒนาคนให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติในสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปทั้งสภาพสังคม  เศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของโลกได้
                        การพัฒนาหลักสูตรจึงมีความหมายอยู่ 2 นัย กล่าวคือ
                        1) เป็นการพัฒนาหลักสูตรเดิมที่มีอยู่ให้มีขีดความสามารถสูงขึ้น ดีขึ้น
                        2) เป็นการจัดทำหรือสร้างหลักสูตรขึ้นใหม่ ตามความต้องการใหม่
                        ดังนั้น การพัฒนาหลักสูตร จึงหมายถึง การท าหลักสูตรเดิมที่ใช้อยู่ ให้มีคุณภาพมีความเหมาะสมมากขึ้น หรือเป็นการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ตามความต้องการของสังคมในขณะนั้น
                        ทั้งนี้  หลักสูตรโดยทั่วไป  มักจะมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้
           1) จุดมุ่งหมายของหลักสูตร (Curriculum Aims)  หมายถึง ความตั้งใจหรือความคาดหวังที่ต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้ที่จะผ่านหลักสูตร จุดมุ่งหมายของหลักสูตรมีความสำคัญเพราะเป็นตัวกำหนดทิศทางและขอบเขตในการให้การศึกษาแก่ผู้เรียน
                         2) เนื้อหา (Content) หมายถึง เนื้อหาประสบการณ์การเรียนรู้ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาไปสู่จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ โดยดำเนินการตั้งแต่การเลือกเนื้อหาและประสบการณ์การเรียงลำดับเนื้อหาสาระ พร้อมทั้งการกำหนดเวลาเรียนที่เหมะสม
                         3) การนำหลักสูตรไปใช้ (Curriculum Implementation) หมายถึง การนำหลักสูตรไปสู่การปฏิวัติ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ  (การจัดทำวัสดุหลักสูตร ได้แก่ คู่มือครู เอกสารหลักสูตร แผนการสอน และแบบเรียน ฯลฯ), การจัดเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและสิ่งแวดล้อม (การจัดโต๊ะเก้าอี้ ห้องเรียน วัสดุอุปกรณ์ในการเรียน จำนวนครูและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ), การดำเนินการสอน



เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  


                         4) การประเมินผลหลักสูตร (Evaluation) หมายถึง การหาคำตอบว่า หลักสูตรสัมฤทธิผลตามที่กำหนดไว้ในจุดมุ่งหมายหรือไม่มากน้อยเพียงใดและอะไรเป็นสาเหตุ
                    อนึ่ง กระบวนการพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วยกระบวนการ 6 ขั้นตอน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
                         1) การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน คือ ข้อมูลทางด้านความต้องการ ความจำเป็น
และปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและการปกครอง ตลอดจนนโยบายทางการศึกษาของรัฐ ข้อมูลทางด้านจิตวิทยา ปรัชญาการศึกษา ความต้องการของผู้เรียน ตลอดจนวิเคราะห์หลักสูตรเดิม เพื่อพิจารณาข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข
                           2)  การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร คณะกรรมการดำเนินงานจะต้อง
ร่วมกันพิจารณากำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรให้สอดคล้องกับข้อมูลพื้นฐาน โดยจุดมุ่งหมายของหลักสูตรจะระบุคุณสมบัติของผู้ที่จบหลักสูตรนั้นๆ มุ่งพัฒนาผู้เรียนทั้ง 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย โดยกำหนดทั้งจุดมุ่งหมายทั่วไป และจุดมุ่งหมายเฉพาะแต่ละรายวิชา ซึ่งจะเน้นการปฏิบัติมากขึ้น โดยคำนึงถึงพัฒนาการทางร่างกาย และจิตใจ ตลอดจนปลูกฝังนิสัยที่ดีงาม เพื่อให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
3)  การกำหนดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ หลังจากได้กำหนด
จุดมุ่งหมายของหลักสูตรแล้ว ก็ถึงขั้นการเลือกสาระความรู้ต่างๆ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ เพื่อความสมบูรณ์ให้ได้วิชาความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสม กระบวนการขั้นนี้จึงครอบคลุมถึงการคัดเลือกเนื้อหาวิชาแล้วพิจารณาจัดลำดับเนื้อหาเหล่านั้นว่า เนื้อหาสาระใดควรเป็นพื้นฐานของเนื้อหาใดบ้าง ควรให้เรียนอะไรก่อนอะไรหลัง แล้วแก้ไขเนื้อหาที่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งแง่สาระและการจัดลำดับที่เหมาะสม ตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้




เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  


4)  การนำหลักสูตรไปใช้ เป็นขั้นของการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน ซึ่งเป็น
ขั้นตอนที่มีความ สำคัญและเกี่ยวข้องกับครูผู้สอน หลักสูตรจะประสบผลสำเร็จ มีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับ
ผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอนจะต้องศึกษาทำความเข้าใจ และมีความชำนาญในการใช้หลักสูตร ซึ่งครอบคลุมถึงการเตรียมการสอน การจัดการเรียนการสอน การจัดสภาพแวดล้อมต่างๆ ภายในโรงเรียนเพื่อ
เสริมหลักสูตร การนิเทศการศึกษา และการบริหารการบริการหลักสูตร ฯลฯ นอกจากนี้ในขั้นนี้ยังครอบคลุมถึงการนำหลักสูตรไปทดลองใช้ก่อนนำไปเผยแพร่ด้วย
5) การประเมินผลหลักสูตร เป็นการประเมินสัมฤทธิ์ผลของหลักสูตรว่าเมื่อได้
หลักสูตรไปใช้แล้วนั้นผู้ที่จบหลักสูตรนั้นๆ ไปแล้ว มีคุณสมบัติ มีความรู้ความสามารถตามที่หลักสูตรกำหนดไว้หรือไม่ นอกจากนี้ การประเมินหลักสูตรจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณค่าสูงขึ้น อันเป็นผลในการนำหลักสูตรไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ การประเมินหลักสูตรควรทำให้ครอบคลุมระบบหลักสูตรทั้งหมด และควรจะประเมินให้ต่อเนื่องกัน ดังนั้นการประเมินหลักสูตร จึงประกอบด้วยการประเมินสิ่งต่อไปนี้
                                5.1) การประเมินเอกสารหลักสูตร เป็นการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร ว่ามีความเหมาะสมดี และถูกต้องตามหลักการพัฒนาหลักสูตรเพียงใด หากมีสิ่งใดบกพร่องก็จะได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขก่อนจะได้นำไปประกาศใช้ในโอกาสต่อไป
                                      5.2) การประเมินการใช้หลักสูตร เป็นการตรวจสอบว่าหลักสูตร สามารถนำไปใช้ได้ดีในสถานการณ์จริงเพียงใด มีส่วนไหนที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้หลักสูตร โดยมากหากพบข้อบกพร่องในระหว่างการใช้หลักสูตรก็มักได้รับการแก้ไขโดยทันที เพื่อให้การใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
                                     5.3) การประเมินสัมฤทธิผลของหลักสูตร โดยทั่วไปจะดำเนินการหลังจากได้มีผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรไปแล้ว การประเมินหลักสูตร ในลักษณะนี้มักจะทำการติดตามความก้าวหน้าของผู้สำเร็จการศึกษาว่าสามารถประสบความสำเร็จในการทำงานเพียงใด

เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  


                                     5.4) การประเมินระบบหลักสูตร เป็นการประเมินหลักสูตรในลักษณะที่มีความสมบูรณ์และสลับซับซ้อนมาก กล่าวคือ การประเมินระบบหลักสูตรจะมีความเกี่ยวข้องกับ
องค์ประกอบอื่น ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตรด้วย เช่น ทรัพยากรที่ต้องใช้ ความสัมพันธ์ของระบบหลักสูตร กับระบบบริหาร โรงเรียน ระบบการจัดการเรียนการสอน และระบบการวัดและประเมินผลการเรียนการสอน เป็นต้น
                        6) การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร  เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นหลังจากได้ผ่าน
กระบวนการประเมินผลหลักสูตรแล้ว ซึ่งเมื่อมีการใช้หลักสูตรไประยะหนึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะแวดล้อมและสังคม จนทำให้หลักสูตรขาดความเหมาะสม จำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
                               จากขั้นตอนดังกล่าวจะเห็นได้ว่า กระบวนการพัฒนาหลักสูตรนั้นจำเป็นต้องใช้ระยะ เวลาในการดำเนินการมากขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงใหม่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียง ใด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการพัฒนาหลักสูตรจะต้องใช้เวลาเป็นปีขึ้นไปในการเตรียมการ และการดำเนินงานจำเป็นต้องใช้กำลังคน และงบประมาณมากพอ สมควร เพื่อจะให้ได้หลักสูตรที่ดีมีประสิทธิภาพอันจะส่งผลในการพัฒนาเยาวชนของชาติต่อไป
                        อย่างไรก็ตาม  ในการพัฒนาหลักสูตร มีปัญหามากมาย พอสรุปได้ดังนี้
1)  ปัญหาขาดครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
2)  ปัญหาการไม่ยอมรับและไม่เปลี่ยนแปลงบทบาทการอสนของครูตามแนว
หลักสูตร
3)  ปัญหาการจัดอบรมครู
4)  ศูนย์การพัฒนาหลักสูตร  ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน
5)  ขาดการประสานงานหน้าที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ
6)  ผู้บริหารต่าง ๆ ไม่สนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร



เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  



              1.3.3  แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
              
ท่ามกลางพลวัตรของสังคมในปัจจุบันบวกกับกระแสแนวโน้มที่จะมาถึงนี้ การศึกษาไทย
จะดำเนินยุทธศาสตร์เดิมๆ อีกไม่ได้ นั่นหมายความว่า สังคมไทยกำลังต้องการนโยบายและยุทธศาสตร์ทางการศึกษาแบบมุ่งอนาคต แนวโน้มการจัดการศึกษาในอนาคตที่หลายประเทศให้ความสำคัญ มักจะเน้นไปที่รูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อตอบสนองต่อกระแสโลกาภิวัตน์ และเศรษฐกิจการแข่ง ขัน รวมไปถึงแนวโน้มการเป็นเศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge-based economy) แต่สำหรับประเทศไทยยัง คลุมเครือเพราะอยู่ระหว่างเลือกว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง
                      เริ่มจากปัญหาการสอนที่มีช่องว่างระหว่างทักษะกระบวนการคิด และทักษะวุฒิทางอารมณ์ยังไม่มีคุณภาพ ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่มุ่งแข่งขันทำให้การจัดการศึกษามุ่งพัฒนาทางวิชาการเป็น สำคัญ ในขณะที่ระบบการศึกษาไทยยังไม่สามารถพัฒนาทักษะกระบวนการคิดของผู้เรียนรวมไปถึง การใช้เทคโนโลยีในกิจวัตรประจำวันหรือใช้ในการเรียนการสอนทำให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ลดลง ส่งผลให้ช่องว่างทางอารมณ์ จึงก่อให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวที่นับวันจะรุนแรงขึ้นจนส่งผลให้การพัฒนาเชิง สังคมของเด็กไทยดิ่งลงเหว  การสอนด้านคุณธรรม จริยธรรมยังไม่มีคุณภาพ แนวคิดของทุนนิยมที่มุ่งแข่งขันได้แพร่ กระจายไปทั่วโลก ส่งผลผู้ประกอบกับสถาบันการศึกษาจำนวนมากมุ่งพัฒนาความรู้ทางวิชาการ และประเมินผลการเรียนที่ความสามารถทางวิชาการจนอาจละเลยการพัฒนาผู้เรียนให้ มีคุณธรรม จริยธรรม ส่งผลต่อคุณภาพ นักศึกษาจำนวนมากที่ใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยาในสถาบันการศึกษา มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน สู้รบฆ่าฟันต่างสถาบัน เป็นต้น
                         แนวโน้มเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ในภาพรวมของประเทศไทยยังต้องการนโยบายและยุทธศาสตร์ทางการศึกษาแบบมุ่งอนาคต ที่จะเท่าทันต่อแนวโน้มต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่แนวโน้มวิกฤตการณ์ด้านเด็กและเยาวชนที่นับวันดูจะรุนแรงมาก ขึ้นๆ จนกลายเป็นกระแสเรียกร้องนโยบายและยุทธศาสตร์ทางการศึกษาที่จะไล่ทันต่อแนว โน้มที่ว่า นโยบายและยุทธศาสตร์ทางการศึกษาแบบมุ่งอนาคต


เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  


                        นโยบายและยุทธศาสตร์ทางการศึกษาแบบมุ่งอนาคตที่ว่านี้ ควรมีการ รวมพลังมีการออกแบบร่วมกันและจัดการร่วมกันที่ดี มิใช่เพียงมุ่งเป้าหมายเพื่อการเรียนรู้ของเด็ก เยาวชนและพลเมืองเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการมุ่งสร้างคนรุ่นใหม่ที่เป็นคน อุดมความรู้ คู่ความดีงามและมีทักษะที่หลาก หลายมีความสามารถในการจัดการที่ดี เพื่อเป็นเงื่อนไข สำคัญของการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ในอนาคตข้างหน้าเพื่อพัฒนาคนโดยใช้คุณธรรมเป็นพื้นฐานของกระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยง ความร่วมมือของสถาบันครอบ ครัว ชุมชน สถาบันทางศาสนา และสถาบันการศึกษา ตลอดจนเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาโดยยึดคุณธรรมนำความ รู้สร้างความตระหนัก สำนึกในคุณค่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงความสมาน ฉันท์ สันติวิธี วิถีประชาธิปไตย
                          พัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี มีความรู้ และอยู่ดีมีสุข กลุ่มเป้าหมายแรก ได้แก่ นักเรียน นิสิต นักศึกษาในสถาน ศึกษา 15 ล้านคน เพื่อขยายผลสู่สังคม วงกว้าง โดยใช้คุณธรรมเป็นพื้นฐานของ กระบวนการเรียนรู้ ที่เชื่อมโยงความร่วมมือของสถาบันครอบครัว ชุมชน สถาบันทางการศาสนา และสถาบันการศึกษา ที่กล่าวมาทั้งหมดอาจเป็นการ แก้ปัญหาการศึกษาและสังคมในระยะยาวและยั่งยืน
                           การปฏิรูปการศึกษาไทยได้ดำเนินมากว่า 8  ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542  โดยฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างพยายามพัฒนาและดำเนินการปฏิรูปการศึกษา ไทยอย่างมาก ซึ่งการจะพัฒนาการศึกษาไทยจะประสบความสำเร็จได้ในสภาพยุคที่เปลี่ยน แปลงอย่างรวดเร็วนี้ จำเป็นต้องวางแผนและดำเนินการในเชิงรุกร่วมด้วยนั่นหมายความถึงการให้ความ สำคัญกับการคาดการณ์แนวโน้มอนาคตทาง  ด้านการศึกษา เพื่อนำมาใช้ประกอบการจัดการศึกษาไทยได้สอดคล้องสภาพการเปลี่ยนแปลง หลีกเลี่ยงอุปสรรคปัญหา และใช้ประโยชน์สูงสุดจากแนวโน้มอนาคตที่จะมาถึง
                        ในศตวรรษที่ 21 ถือเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเด็กและเยาวชนยุคนี้เกือบทุกประเทศทั่วโลกรวมถึงเด็กไทยล้วนมีทักษะและความสามารถในการเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว คล่องแคล่ว ทั้งคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือหลากหลายยี่ห้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งติดต่อการสื่อสารบนเครือข่ายสังคมออนไลน์
                               แต่เมื่อหันกลับมามองคุณภาพการศึกษาของไทยที่มีการสวนกระแสกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมโลกยุคข้อมูลข่าวสาร ถ้าทบทวนดูผลการจัดอันดับการศึกษาของไทยจะเห็นได้ว่าอยู่ในอันดับที่ไม่น่าพึงพอใจมากนัก มีทั้งอันดับต่ำกว่าเดิม ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การจัด



เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  


อันดับประเทศที่มีพัฒนาการศึกษาทางการศึกษาของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการจัดอันดับการศึกษาเพียร์สัน
ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2555 พบว่าประเทศไทยอยู่อันดับที่ 37 จาก 40 ประเทศ โดยการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอยู่อันดับ 8 ของอาเซียนตามหลังฟิลิปปินส์และกัมพูชา ส่วนการศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่ในลำดับ 6 ของอาเซียนตามหลังเวียดนาม
                              ส่วนผลประเมิน PISA ที่มีการสุ่มเพื่อประเมินนักเรียนชั้น ม.3 ต้องการสำรวจว่าเยาวชนที่อยู่ในวัยจบการศึกษาภาคบังคับ มีศักยภาพที่จะใช้ความรู้และทักษะที่เรียนไปในชีวิตจริงในอนาคตได้ดีเพียงใด ซึ่งไม่ได้ประเมินความรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน แต่เน้นประเมินความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการ PISA ตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 โดยมีการประเมินทุก 3 ปี ซึ่งการประเมินแต่ละครั้งจะให้ความสำคัญกับวิชาที่แตกต่างกัน แต่ให้น้ำหนักด้านใดด้านหนึ่งเป็นหลัก และอีก 2 วิชาเป็นรอง พบว่า นักเรียนไทยกลุ่มอายุ 15 ปี มีผลการประเมินต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติ ต่อเนื่องถึง 4 ครั้งและเนื่องจากผลการสอบ PISA ได้ถูกนำไปใช้เป็นเกณฑ์หนึ่งในการจัดลำดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้นานาชาติมองว่าไทยยังเป็นประเทศด้อยคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
                              จากผลการประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ National Test (NT) ระดับชั้น ป.3 ปีการศึกษา 2555 ที่จัดสอบโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่าคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งในทุกด้าน คือ ด้านภาษา คะแนนเฉลี่ย 42.94 ด้านการคำนวณ คะแนนเฉลี่ย 37.45 ส่วนด้านเหตุผล คะแนนเฉลี่ย 45.92 ส่วนผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2555 ของนักเรียนชั้น ม.6 จัดสอบโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) มีผู้เข้า
สอบประมาณ 400,000 คน โดยมีคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งเกือบทุกวิชาเช่นกัน คือ ภาษาไทย 47.19 คะแนน สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 36.27 คะแนน ภาษาอังกฤษ 22.13 คะแนน คณิตศาสตร์ 22.73 คะแนน วิทยาศาสตร์ 33.10 คะแนน สุขศึกษาและพลศึกษา 53.70 คะแนน ศิลปะ 32.73 คะแนน การงานอาชีพและเทคโนโลยี 45.76 คะแนน
                           จากผลการจัดอันดับและผลการประเมินต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานภายในประเทศและระดับนานาชาติที่ผ่านมาล้วนบ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน เหล่านี้ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงต้นตอของปัญหาที่จำเป็นต้องมีการหาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันวิกฤติการศึกษาของประเทศ


เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  


                          รัฐบาลได้มองเห็นปัญหาการศึกษาไทยที่เรื้อรังมายาวนาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา มองว่าในอดีตที่ผ่านมาเด็กไทยเรียนมากแต่รู้น้อย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปฏิรูปหลักสูตร ปรับกระบวนการเรียนการสอนที่จะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจัง โดยให้สอนน้อยแต่เด็กเรียนรู้มาก  จึงมุ่งเน้นให้การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเกิดประโยชน์สูงสุดกับเด็กเป็นสำคัญ โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น 2 คณะ คือ
                          คณะที่ 1 กำหนดวิสัยทัศน์การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีรมว.ศธ.เป็นประธาน และมีผู้ทรงคุณวุฒิมาจากทุกภาคส่วนเป็นกรรมการ
                          คณะที่ 2 มี ศาสตราจารย์ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เป็นประธาน และมีคณะกรรมการออกแบบยกร่างหลักสูตร-ตำราเรียนแห่งชาติ
                           ซึ่งช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการได้มีการประชุมยกร่างหลักสูตรใหม่เพื่อเป็นพิมพ์เขียวโดยกำหนดกรอบเวลาไว้เพียง 6 เดือน โดยมีมติให้ยกเลิก 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรเดิม และยกร่างโครงสร้างใหม่เป็น 6 กลุ่มสาระ คือ
                           กลุ่มที่  1  กลุ่มสาระภาษาและวัฒนธรรม (Language and Culture)
                           กลุ่มที่ 2  กลุ่มสาระเรียนรู้ STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกร และคณิตศาสตร์)
                           กลุ่มที่ 3  กลุ่ม การดำรงชีวิตและโลกของงาน (Work Life)
                           กลุ่มที่ 4  กลุ่มทักษะสื่อและการสื่อสาร (Media Skill and Communication)                      
                           กลุ่มที่ 5  กลุ่มสังคมและมนุษยศาสตร์ (Society and Humanity)
                           กลุ่มที่ 6  กลุ่มอาเซียน ภูมิภาคและโลก (Asean Region and World)
                            ทั้งนี้ให้มีเวลาเรียนไม่เกิน 800 ชั่วโมงต่อปี โดยให้เพิ่มกระบวนการเรียนรู้ผ่านโครงงานทุกระดับชั้น เน้นกระบวนการประชาธิปไตยและคุณธรรม จริยธรรมเพิ่มมากขึ้น




เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                   



http://www.kruthai.info/UserFiles/Image/03-2556-27-1.jpg
ภาพที่ 1.1  กลุ่มสาระการเรียนรู้ 6 กลุ่มสาระ

                ทั้งนี้  หลักสูตรใหม่มุ่งหวังให้ หลักสูตรได้พัฒนาผู้เรียนใน  12 ประเด็นต่อไปนี้
1)   มีทักษะในการเรียนรู้  ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน  สามารถหาความรู้ใหม่ได้ตลอดชีวิต
2)  มีกระบวนการคิดแบบวิเคราะห์
3)  มีความคิด  มีความสามารถในการสร้างสรรค์
4)  มีความสามารถในการเผชิญหน้าปัญหา  หาแนวทางและดำเนินการแก้ไขปัญหา



เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  


5)  มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบการดำรงชีวิตในยุคใหม่
6)  มีความสามารถในการำงานร่วมกับผู้อื่น
7)  มีความสามารถในการสื่อสาร  ถ่ายทอดความคิด ความรู้ การสร้างความเข้าใจ
8)  มีสำนึกรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคม
9)  มีทักษะในการครองสติ  เสริมสร้างจิตปัญญาและความดี
10)      มีทักษะความเป็นไทยซึ่งสามารถดำรงตนอยู่ในโลกยุคใหม่
11)      มีทักษะประชาธิปไตย  เคารพความคิด  ความเห็นที่แตกต่างและบริหารความขัดแย้ง
12)      มีทักษะในการดำรงชีวิตในโลกยุคใหม่  มีความเป็นผู้ประกอบการและการมีอาชีพที่มี
คุณภาพ












เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  








กิจกรรม












เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  



                กิจกรรมที่ 1.4.1    สัมมนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา
                จุดประสงค์
              1)  เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจในความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
                2)  เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาหลักสูตร
                3)  ฝึกการวิเคราะห์ความสอดคล้องของวิสัยทัศน์  หลักการ จุดประสงค์ตลอดจนองค์ประกอบอื่นๆของหลักสูตร
                4)  เพื่อวิเคราะห์มาตรฐาน  ตัวชี้วัดและสาระของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาตลอดจนปัญหาการใช้หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา
                5)  นำเสนอผลการวิเคราะห์มาตรฐาน  ตัวชี้วัดและสาระของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาตลอดจนปัญหาการใช้หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา
              ขั้นตอนการทำกิจกรรม
1)   นักศึกษาฟังบรรยายนำเรื่องจากวิทยากร
2)  นักศึกษาเข้ากลุ่มเพื่อร่วมกันศึกษา  อภิปราย และสรุปในหัวข้อต่อไปนี้
2.1)  ปัญหาและอุปสรรค์ในการใช้หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา
2.2)  การพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา 2556
2.3)  มาตรฐาน ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
                     2.4)  ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลการสัมมนากลุ่มย่อย
                     2.5)  นักศึกษาสรุปผลการสัมมนาเพื่อนำไปเผยแพร่ใน Blog  ของตัวเอง



เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  









แบบทดสอบ













เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  



แบบทดสอบชุดที่ 1  หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา
คะแนนที่ได้
ผู้สอน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เครือศรี  วิเศษสุวรรณภูมิ

นักศึกษา :


คำชี้แจง    ข้อสอบทั้งหมดมี   4  ข้อ  คะแนนเต็ม  20  คะแนน
คำสั่ง  ให้นักศึกษาตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง สมบูรณ์
1.   ระบุความหมายของคำว่า  -หลักสูตร-  (5 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2.  หลักสูตร-  มีความสำคัญอย่างบ้าง (5 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  


3.  เพราะเหตุใดจึงต้องมีการพัฒนาหลักสูตร  ( 5 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4.  อธิบายขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรมาพอสังเขป ( 5 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  



แบบทดสอบชุดที่ 2  หลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา
คะแนนที่ได้
ผู้สอน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เครือศรี  วิเศษสุวรรณภูมิ

นักศึกษา :

คำชี้แจง    ข้อสอบทั้งหมดมี   2 ข้อ  คะแนนเต็ม  20  คะแนน
คำสั่ง  ให้นักศึกษาตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง สมบูรณ์
1.   ระบุข้อบกพร่องของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 ( 10 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  


2.  อธิบายความสอดคล้องของมาตรฐานการเรียนรู้  ตัวชี้วัดและ สาระของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาฉบับปรับปรุงใหม่พุทะศักราช 2556 ( 10 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  







1.5 
บรรณานุกรมและแหล่งเรียนรู้หลัก











เอกสารคำสอนรายวิชา 266-211                                                         วิทยาศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา 1                                  

เอกสารอ้างอิง

เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาหลักสูตรและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน บทที่ 2 เรื่องการสร้างและการพัฒนาหลักสูตร
จากเว็บไซต์ : http://members.thai.net/thaitap/ac/
http://members.thai.net/thaitap/ac/
http://members.thai.net/thaitap/ac/
ศึกษาธิการ.พิมพครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : องคการรับสงสินคาและพัสด. ุ
ไชยรัตนปราณ. (2545). ี การพัฒนาหลักสูตรใหสอดคลองกับสภาพและความตองการของทองถิ่น
ปริญญานิพนธกศ.ด. (การวิจัยและพัฒนาหลักสูตร). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร.
ทองพันธนาสมบัติ. (2546). การพัฒนาหลักสูตรทองถิ่นกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและ
เทคโนโลยี(งานประดิษฐ)  เรื่องการสานกระติบขาวจากกก : กรณีศึกษาโรงเรียนสําราญ-